หล า ยๆ คนคงรู้และเข้าใจว่า การศึกษา ทุกวันนี้ คือ อนาคต ความหวังให้ลูกคุณ ฉะนั้นหล า ยๆ ครอบครัว เขาจึงทุ่มเททุกสิ่งที่มี ให้ลูกได้เรียนโรงเรียนดีๆ แต่ก็ลืมไปว่า ควรพัฒนาทักษะด้านอื่นๆ ไปด้วย
1. หากลูกอายุได้ สองขวบ
เราส่งลูกเข้าเนอสเซอรี่ หมดค่าใช้จ่ายไป ปีละ แปดหมื่น แค่คิดว่ากลัวไม่ทันเพื่อน กลับกล า ยเป็นส่งลูกไปติดหวัด ที่โรงเรียน เ พ ร า ะวัยนี้เนี่ย ภูมิต้านทานยังไม่แข็งแรงไหนจะเสี่ยงที่จะต้องเจอ กับเนอสเซอรี่ที่ไม่ดี หรือพี่เลี้ยงที่สอบแบบผิ ดๆ กลับกล า ยเป็นพฤติก ร ร ม ตัวอ ย่ างที่ ลูกได้มาแบบที่ไม่รู้ตัว
2. เมื่ออยู่ อนุบาลยันประถม
ทั้งในและนอ กหลักสูตร ต้องกวด วิชาเพื่อเตรียมสอบเข้าป. 1 เสริมด้วย ไวโอลิน อังกฤษ คณิต ว่ายน้ำ ฯลฯ เ พ ร า ะคิดว่าลูกจะเก่งน้อยกว่าคนข้างบ้าน แต่คุณพ่อคุณแม่หารู้ไม่ว่า จิตนาการ คือสิ่งที่สำคัญที่สุด ที่จะนำให้ลูกของคุณเติบโตไปเป็นผู้ใหญ่ ที่ประสบความสำเร็จ แต่คุณกำลังให้เรียนโน้นทำนี่ สิ่งเหล่านี้แหละ มันไปปิดกั้น พัฒนาการในด้านการจินตนาการของเข เราแค่กลัวว่าลูกจะไม่เก่ง แต่ไม่เคยถามความรู้สึกของลูกว่าเขาฝันอย ากเป็นอะไร อย ากทำอะไร
3. มัธยม อมเปรี้ยว
ทีนี้หนักเลย เพื่อ การที่จะสอบได้คะแน นดีๆ เพื่อเข้ามหาลัย ได้เรียนพิเศษทุกเย็นหลังเลิกเรียน เสาร์ อาทิตย์ วันปิดเทอมลูกก็ไม่ได้พัก บางครั้งลูกไม่อย ากไป แต่พ่อแม่เนี่ยอย ากให้ไป บางบ้านนะ หมดเ งิ นปีละ 6 ถึง 7 แสน เพื่อให้ลูกได้เรียน ในสิ่งที่คิดว่าดี คือยังไม่ทันเข้ามหาลัยเลย หมดไปเยอะละ
4. โลกแห่งความเป็นจริง วัยทำงาน
เมื่อลูกเรียนจบก็ค าดหวังว่า ลูกฉันเลี้ยงมาอ ย่ างพิเศษ เ พ ร า ะงั้นจะจ้างลูกฉันมันต้องแพงกว่าสิ ส่งเรียนไป หมดไปหล า ยล้านนะ ไรงี้ คือคุณค่าของใบปริญญาของ พ่อแม่กับนายจ้าง ที่มองมันต่างกัน
พ่อแม่ชาวไทย ตีค่าใบปริญญาลูกรักสูง นั่นเป็นเ พ ร า ะเราอยู่ในกระบวนการจ่ายเ งิ นจริงมาย าวนานและลำบากมากว่า 20 ปีแต่นายจ้าง กลับตีค่าไม่สูงแบบนั้น และนายจ้างกลับมีคำถามใหญ่ 3 คำถาม ดังต่อไปนี้
1. เคยทำอะไร สำเร็จบ้าง
2. ลูกคุณทำอะไร เป็นบ้าง ทำอะไรได้บ้างล่ะ
3. จะมาสร้างความสำเร็จ อะไรให้ที่นี่ล่ะ
ความเห็น ส่วนตัวนะ หากว่าพ่อแม่ชาวไทย (ส่วนหนึ่ง ไม่ใช่ทั้งหมด) ที่ลงทุนกับการศึกษาลูก ด้วยเ งิ นจำนวนเยอะๆ ปรับแนวคิดสักนิด ประหยั ดเ งิ นบางส่วน แล้วนำเ งิ นส่วนเดียวกันนี้ เริ่มทำธุรกิจให้ลูก ในช่วงปิดเทอมให้ลูกได้ใช้ความอ ดทนความพย าย าม
ริเริ่มสร้างสรร เป็นผู้ประกอบการในยุคสมัย ที่อาชีพการงาน ไม่เป็นใจ เผื่อเวลาจากการศึกษา ให้เขาได้ลองเรียนรู้ เขียนหนังสือ อ่านหนังสือ ลองเขียนโปรแกรมสร้าง แอพลอง design ข า ยของ ฯลฯ จนสุดท้าย หาเ งิ นด้วยตัวเองให้ได้ก่อน ที่จะเข้าเรียน หากเขาสามารถส่ง
ตัวเองเรียนได้หรือมีร า ยได้มาแบ่งเบาภาระ เรื่องค่าการเรียนได้สักหน่อย สิ่งเหล่านี้แหละจะช่วยพัฒนาเขาได้ไม่แพ้การศึกษาเลย และพ่อแม่ได้ภูมิใจที่ลูกๆ ได้ฝึกภูมิต้านทานและความแกร่ง เ พ ร า ะเ งิ นเพียงอ ย่ างเดียวไม่สามารถซื้ อส ม อ งให้ลูกคุณได้ ไม่ใช่ คะแนนสอบที่สูงลิ่ว แต่คิดอะไรเองไม่ได้ เช่นนี้ ไม่ได้เรียกว่าฉลาด แต่เรียกว่า จำเก่ง แล้วนำไปทำข้ อสอบได้ คงจะดีกว่านี้ ถ้าทั้งเก่งในข้ อสอบและเก่งในทักษะโลกของชีวิตจริง
ที่มา dhammasawatdee