เรียนอะไรมาก็ไม่สำคัญเท่ารู้จักหาเลี้ยงตัวเองได้

เรามักจะเห็นหล า ยๆคนที่เรียนจบออ กมาแล้วทำงานไม่ตรงกับสายงานที่เรียน มาสักเท่าไหร่ จึงเกิดคำถามขึ้น มากมายว่า ทำไมเรียนจบสายนี้ถึงไม่ทำงานต ามที่เรียน มา ทำไมมาทำงานตรงกันข้ามกับที่เรียน มา วันนี้เราเลยมีข้ อคิดดีๆที่อย ากบอ กถึงคนที่รอทำงานเฉพาะสายเรียน มา จะเป็นอ ย่ างไรเราไปดูกัน

จะเรียนไปทำไม ถ้าสุดท้ายก็ได้งานที่ไม่ตรงสายงาน ที่น้อยคนจะรู้จัก เงิ นเดือนที่ไม่ได้มากมายอะไร คำถามนี้จะได้คำตอบ ที่ทำให้กลุ้มใจมากเลย เพราะมันเต็มไปด้วย ความคาดหวังที่คิดว่า เรามีทางเลือ กอยู่ไม่กี่อ ย่ างในชีวิต แต่ถ้าลองเปลี่ยนเป็น

ความคิด ฉันทำงานอะไรก็ได้ ไม่ว่าจะตรงสายหรือไม่ก็ต าม มันอาจดูเป็นประโยค ของคนแพ้ในสายต าบางคน แต่ถ้าคิดดูแล้ว มันได้ความสบายใจ เยอะกว่าการตั้งคำถามแบบแรก เพราะความเป็นจริงของชีวิต คือ

1.มนุษย์ทุกคน มีความสามารถในตัวเองแตกต่างกันไป เราไม่จำเป็น ต้องเก่งเหมือนกันหมด

2.สิ่งที่เราเรียน มา เป็นสิบเป็นร้อย มันคือ การหล่อหลอม หล า ยวิชา ไม่ได้สอนเราทางตรง แต่ให้เราค่อยๆ ซึมซับข้ อ ดี แต่ละอ ย่ างไปเอง เช่น ฝึกความอ ดทน ฝึกความประณีต ฝึกทักษะการเข้าสังคม

3.แม้แต่ในคนคนเดียว ยังมีความสามารถ ที่หลากหล า ย เช่น เป็นหมอ แต่ก็เล่นดนตรีเก่ง ทำอาหารเก่ง เป็นศิลปินแต่ก็คำนวณเก่ง ขับรถเก่งในครั้งหนึ่ง ที่เราไม่เห็นประโยชน์ ว่าจะใช้อะไรได้จริง พอโตขึ้นอีกหน่อย มันก็ต้องมีบ้าง ที่เรานึกอะไรขึ้น มา จนต้องไปหาอ่า น ปัดฝุ่นตำราอีกครั้ง ทุกความรู้ที่เราได้รับ ไม่เคยสูญเปล่า แค่เรามองไม่เห็นค่ามันเอง ลองนึกดูให้ดีสิ

4.สิ่งที่เราเก่ง ไม่จำเป็นต้องออ กมา ในรูปแบบวิชาชีพ เช่น หมอวิศวกร พย าบาล มันอาจเป็นพรสวรรค์ก็ได้ เป็นความรู้อะไรก็ได้ ที่เราเอาจริงกับมัน เช่น การทำอาหาร การจัดสวน การออ กแบบ ไม่อ ย่ างงั้น เราคงไม่เห็นนักธุรกิจ หน้าใหม่หล า ยคน ผุดขึ้นเป็นดอ กเห็ดหรอ ก

5.มันเป็นเรื่องธรรมดา ที่มนุษย์เราจะต้องวิ่งต ามหาสิ่งที่ใช่ ค่อยๆเรียนรู้ ค่อยๆปรับตัวไป สิ่งที่เรากำลังสนุกในตอนนี้ บางทีอาจจะยังไม่ใช่ที่สุด สิ่งที่เราเก่งในตอนนี้ ในวันข้างหน้า มันอาจเป็นเพียงแค่ความทรงจำ เพราะอาจมีหล า ยปัจจัย ให้คิดมากขึ้น เช่น จำเป็นต้องพับโครงการเรียนต่อเอาไว้ เพราะเงิ นไม่พอ จำเป็นต้องทำงานหาเงิ นก่อน แล้วค่อยไปเรียนศิลปะ ที่เราชอบ เราต้องดูจังหวะของชีวิตด้วย ความจำเป็นของชีวิตแต่ละช่วง

6.มนุษย์เราควรมีทางเลือ กให้กับชีวิตไว้หล า ยด้าน หรือมีแผนสำรอง เพื่อไม่เป็นการปิดกั้นตัวเอง จนเกินไป เช่น ถ้าวุฒิที่เราเรียน มา มันหางานย าก จะยอมรึเปล่า ที่เอาวุฒิต่ำกว่านี้ หางานไปก่อน ถ้าเราไม่ได้อาชีพนี้ เรายอมได้รึเปล่าที่จะทำอาชีพอื่น ไปพลางๆก่อน ความฝันสิ่งที่ใช่มันไม่ควรเป็นสิ่งที่ได้ดั่งใจในทันที

7.ในรั้วโรงเรียน ต่อให้เราได้เรียนกับอาจารย์ที่เก่งแค่ไหน ขอบเขตความรู้ มันก็เป็นเพียงความรู้ในรั้วเท่านั้น โลกของวัยผู้ใหญ่ ที่โตขึ้น เรายังต้องรู้เห็นอีกมาก เรียนรู้กันอีกย าว ลองผิ ดลองถูก กันอีกเยอะ ดังนั้นจะมาฟั นธงว่า เรียน มาสายวิทย์ ต้องทำงานสายวิทย์เรียนสายภาษา ต้องทำงานสายภาษา มันก็ไม่ถูกเสมอไป

มันเป็นเรื่องธรรมดามากที่ต้องแลกกับความเหนื่อย ความพย าย าม หล า ยเท่าตัว จึงไม่ใช่เรื่องแปลกหากจะพบว่า หมอบางคน แต่งเพลงได้ บางคนเรียนวิชาชีพ แต่มาเป็นศิลปิน บางคนเรียนไม่จบแต่ประสบความสำเร็จ

ถ้ายังไม่เข้าใจในข้ อนี้ ลองย้อนกลับไปอ่ านข้ อ 6 อีกรอบ ขึ้นชื่อว่า ความรู้ เราได้รับมาถึง จะไม่ได้ใช้ในทันที ก็ไม่ควรเ สี ยดายขึ้นชื่อว่าความฝัน ถึงจะยังไม่ใช่ใน วันนี้ใ ช่ว่าวันหน้าจะเป็นไปไม่ได้มันอยู่ที่ตัวเราล้วนๆ ว่ารู้ตัวดีหรือไม่ว่าทำอะไรอยู่และพร้อมจะยืดหยุ่น กับทุกสถานการณ์ชีวิตรึเปล่า อ ย่ าลืมว่า โลกเรากลม และมีหล า ยมิติใช่ว่า จะต้องมองเพียง ด้านเดียว

ที่มา  yakrookaset

Related posts